Ninja!

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กินเผ็ด ป้องกันโรค มีประโยชน์สารพัด

พูดถึง "พริก" ทุกคนจะนึกถึงความเผ็ด หลายคนชอบกินอาหารรสเผ็ด แต่หลายคนไม่ชอบ ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว "พริก" มีประโยชน์อย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคป ไซซิน" พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม
คนที่กินพริกนานๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา
ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเรสเตอรอลจากงานวิจัยของญี่ปุ่น พบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี
การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย
นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่าสารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร
แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่
กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซิน จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ
ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้
สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/30522

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

ลูกพรุน (Prunes) / ลูกพลัม (Plum) / ลูกไหน


หลายคนคงสงสัยว่าผลไม้นี้เรียกว่าอย่างไรกันแน่ แล้วมันต่างกันอย่างไร ผลไม้ ทั้ง 3 ชนิดนี้คือ ผลไม้ชนิดเดียวกัน เพียงแต่ลูกพรุนคือผลจากการนำลูกพลัมมาตากแห้ง ส่วนลูกไหน ก็เป็นชื่อที่คนจีนเรียกลูกพลัมนั่นเอง


ลูกพรุนนี้มีคุณค่าอาหาร สูงมาก อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) แมกนีเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี สำหรับสาวๆที่อยากลดน้ำหนักกินลูกพรุนเยอะๆจะดีมาก เพราะลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย และสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย
ในลูกพรุน มีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ กากใยอาหารนี้มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ และจากการทดลองรับประทานลูกพรุน พบว่าสามารถลดไขมันในเลือด (LDL cholesterol) ในผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูงได้ พบว่ากลไกดังกล่าวเกิดจากกากใยอาหารชนิด เซลลูโลสซึ่งละลายน้ำไม่ได้ และเพ็คตินซึ่งละลายน้ำได้
มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก และไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร น้ำลูกพรุนแม้จะมีรสหวานแต่ส่วนมากประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิด ฟลุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยระบายและรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่ และในเด็กเล็ก แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ


มีวิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ช่วยในการมองเห็น ผิวหนัง เล็บ และผม
มีวิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์ จากการถูกทำลาย ซึ่งเมื่อเซลล์ถูกทำลายก็จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งสูง วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดเป็นโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง และทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
มีวิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ช่วยบำรุงสายตา
มีแคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ
มีเหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78 มิลลิกรัม จึงเป็นแหล่งของธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการทานผลไม้ชนิดนี้ค่ะ เป็นยังไงบ้างคะเพื่อนๆ ผลไม้ลูกเล็กๆ หน้าตาน่ารักที่เราเรียกว่า"ลูกพรุน" จิ๋วแต่แจ๋วใช่มั๊ยคะ รู้ถึงคุณค่าและคุณประโยชน์ของลูกพรุนอย่างนี้แล้ว อย่าลืมซื้อหามาไว้ทานกันบ้างนะ ไม่ว่าจะเป็นลูกพลัมสดๆ หรือที่ตากแห้งแล้วที่เรียกกันว่า"พรุน" ก็ให้ประโยชน์กับเราได้ทั้งสองอย่างค่ะ

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

ถ้าท้องว่าง อย่าทำแบบนี้

อย่าทานกล้วยขณะที่ท้องว่าง เพราะว่าแมกนีเซียมในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลให้การทำงานของหลอดเลือดหัวใจทำงานได้ไม่ดี

อย่าทานกระเทียมขณะที่ท้องว่าง เพราะว่ากระเทียมจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอักเสบ อาจจะทำให้กลายเป็นโรคกระเพาะอักเสบแบบรุนแรงไปได้

อย่าทานผักอย่างเดียวขณะที่ท้องว่าง เพราะว่าจะทำให้เกิดกรดแก๊สได้ง่าย ส่วนน้ำนมและถั่วเหลืองนั้นจะเกิดประสิทธิผลเมื่อทานร่วมกับอาหารประเภทแป้งนะคะ

อย่าทานช็อกโกแล็ตขณะที่ท้องว่าง เพราะเมื่อโปรตีนรวมกับน้ำตาลร่างกายจะดูดซึมโปรตีนได้ไม่ดี ทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดและไตไม่ดีตามไปด้วย

อย่าทานน้ำชาขณะที่ท้องว่าง เพราะว่าจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง แล้วยังจะทำให้ระบบย่อย ทำงานได้น้อยลง คุณอาจจะมีอาการใจสั่น เสียนหัว มือเท้าหมดแรงได้

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

ความแตกต่างระหว่าง http:// กับ https://


ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ http vs https ที่เราเห็นบ่อยๆ แต่ไม่รู้ความแตกต่างว่า ตัว S ที่ต่อท้าย มีความหมายว่า “Secure” หรือก็คือ ปลอดภัย สำหรับการซื้อ การกรอกฟอร์ม เช่น บัตรเครดิต

เวลาเราท่อง website และอาจต้องทำธุรกรรมบางอย่าง เช่น ซื้อของ ใส่รหัสบัตรเครดิต อะไรทำนองนี้

ต้องระวัง ง่ายๆ โดยดูว่า website ที่เราจะทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวของเราลงไปนั้นเป็น http:// หรือ https://


https:// ตัว S ที่ต่อท้าย มีความหมายว่า “Secure” หรือก็คือ ปลอดภัย สำหรับการซื้อ การกรอกฟอร์ม เช่น บัตรเครดิต ใน website ที่เป็น https

แต่ถ้าเราจะไปซื้อของ หรือ กรอกข้อมูลบัตรเครดิต ผ่านทาง website ที่เป็น http ไม่มี S ต่อท้าย ก็เตรียมตัวโดนแฮกข้อมูลส่วนตัวได้เลย เพราะมันไม่ secure

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

ที่มา : www.teenee.com

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

(¯`°.•°•.★*ประวัติ*★ .•°•.°´¯)





ชื่อ:วิจิตรา เอี่ยมแจ้งพันธุ์
ชื่อเล่น:ปลา
วัน/เดือน/ปี เกิด:02/04/2530
อายุ:21
เชื้อชาติ:ไทย
สัญชาติ:ไทย

ศาสนา:พุทธ
ส่วนสูง:167
น้ำหนัก:45
ที่อยู่:166/289 ม.5 แขวงคลองถนน เขตสายไหม
กรุงเทพมหานคร 10220
เบอร์โทร:0837754471
จบมัธยมปลายจาก:โรงเรียนนราสิกขาลัย จังหวัดนราธิวาส
การศึกษาปัจจุบัน:มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
คณะวิทยาการจัดการ/บริหารธุรกิจ หลักสูตรคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
รหัสนักศึกษา:49172792006
e-mail :49172792006@hotmail.com





วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

(¯`·._.·[เตรียมฝึกฯ ให้อะไรกับเรา]·._.·´¯)




ในการเรียนเตรียมฝึกประสบการณ์ฯ ที่ผ่านมา ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ ด้าน. . .
ไม่ว่าจะเป็น ด้านความพร้อมก่อนสมัคงาน ความพร้อมด้านการทำงาน
การ present หรือแม่แต่การออม และบุคลิกภาพที่ดีในการเข้าสังคม. . .
เราได้ประสบการณ์มากมายและหนึ่งในนั่นคือ การทำโครงงาน. . .
ลิ่งที่เราได้จากการทำโครงงานนี้คือ ความสามัคคีในการทำงานเป็หมู่คณะ. . .

การนำเสนอโครงงาน การจัดทำรูปแบบโครงงาน การ present การจัดทำเวปไซต์
และกาะติดตามผลของโครงงานที่เราได้ทำลงไป. . .


สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราต้องเจอในการทำงานในอนาตคของเราทั้งสิ้น
ในการเรียนเตียมฝึกครั้งนี้. . .ทำให้เรามีความคิด ความพร้อม ทั้งในด้านการทำงาน

เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ต่อไป. . .


วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

อย่าปล่อยให้พื้นที่ในฮาร์ดดิสหายไปโดยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์

โดยปกติพื้นในฮาร์ดดิสของเราถูกใช้ในการจัดเก็บไฟล์ไว้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Windows) ไฟล์โปรแกรมทำงาน(เช่น โปรแกรมMS-Word MS-Exel) ไฟล์เกมส์ ไฟล์งาน (เช่น รูปภาพ ไฟล์เอกสาร Word หรือ Exel) ไฟล์เพลง mp3 ฯลฯ ซึ่งไฟล์เหล่านี้ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบในฮาร์ดดิสของเรา แน่นอน ยิ่งเราติดตั้งโปรแกรมลงไปในคอมพิวเตอร์มากเท่าไร เราก็จะยิ่งเสียพื้นในฮาร์ดดิสไปเรื่อยๆ อันนี้ยังไม่นับไฟล์งาน ไฟล์รูปภาพและไฟล์เพลงè ต่างๆ ที่ได้บอกไปแล้วนะ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถตรวจสอบขนาดพื้นที่ของฮาร์ดดิสในเครื่องของเราได้ด้วยวิธีการดังนี้

1. ดับเบิ้ลคลิกที่ My Computer



2. คลิกเมาส์ขวาที่ไดรฟ์ c: หรือ d: (เป็นไดรฟ์ของฮาร์ดดิสที่ใช้เก็บข้อมูล) แล้วคลิก(ซ้าย)ที่เมนู Properties ดังรูป



3. สีน้ำเงินคือพื้นที่ที่ถูกใช้ไป ส่วนสีชมพูคือพื้นที่ที่ว่างอยู่



หลักการมีอยู่ว่า เพื่อนๆจำเป็นต้องเหลือพื้นที่สีชมพูไว้อย่างน้อย10% ของฮาร์ดดิส ไม่งั้นเครื่องจะทำงานช้าลง ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องลบไฟล์หรือโปรแกรมออกจากเครื่องไปบ้าง(ถึงตอนนี้หลายคนเริ่มเศร้า) แต่ก่อนที่จะลบข้อมูลดังกล่าว ขอแนะนำให้ลบ “ไฟล์ขยะ” ออกไปก่อน
ไฟล์ขยะ คืออะไร
ไฟล์ขยะคือ ไฟล์ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ไฟล์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากการทำงานของโปรแกรมวินโดว์ วินโดวส์ หรืออาจเกิดจากการเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านโปรแกรม Intenet Explorer และยังรวมไปถึงไฟล์ที่เราลบไปไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) อีกด้วย แน่นอนไฟล์ขยะเหล่าไม่มีประโยชน์ ยิ่งนานวันมันก็จะทำให้ฮาร์ดดิสเต็ม ว่าแล้วก็มาลบไฟล์ขยะกันเลยดีกว่า เราเรียกวิธีการลบไฟล์ขยะนี้ว่า “Disk Cleanup” ไม่แน่นะบางทีการทำ Disk Cleanup อาจทำให้เราได้พื้นที่ว่างของฮาร์ดดิสคืนกลับมา โดยที่ไม่ต้องไปลบโปรแกรมหรือไฟล์งานเลยก็ได้

ขั้นตอนการทำDisk Cleanupมีดังนี้

1. คลิกที่ปุ่ม Start แล้วไปที่เมนู All Programs → Accessories → System Tools → คลิกที่เมนู Disk Cleanup ดังรูป


2. คลิกเลือกไดรฟ์ c: จากนั้นคลิกปุ่ม OK



3. ถึงตรงนี้ให้รอสักครู่ (เพื่อนๆคนไหนที่ไม่ได้ทำDisk Cleanupมาก่อน อาจต้องรอนานหน่อยนะ แต่ก็ขอให้อดทนรอ)



4. ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนการลบแล้วล่ะ ให้คลิกปุ่ม OK




5. คลิกปุ่ม Yes เพื่อยืนยัน



6. แสดงสถานะการลบไฟล์ขยะให้รอสักครู่จนกว่าหน้าต่างนี้จะหายไป



หลังจากเสร็จสิ้นทั้ง 6 ขั้นตอนนี้แล้ว ให้ลองกลับไปตรวจสอบขนาดพื้นที่ของฮาร์ดดิสดูอีกครั้งตามที่ได้แนะนำไว้เมื่อตอนต้นของบทความ เชื่อว่าน่าจะได้พื้นที่ว่างกลับมาอีกพอสมควรเลยล่ะครับ พื้นที่ว่างที่ได้กลับมาอาจทำให้บางคนไม่ต้องไปลบโปรแกรมหรือไฟล์งานในเครื่อง (รวมทั้งไฟล์เพลงด้วย) โดยเฉพาะกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์บางท่านที่ไม่เคยทำ Disk Cleanup มาก่อน ก็จะได้พื้นที่ว่างกลับมาเยอะจนเราคาดไม่ถึงทีเดียว...






ขอขอบคุณ. . .


Orange Small Fish : ปลาตัวเล็กสีส้ม




วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สาระความรู้ "เรื่องสุขภาพ"

โรคแพ้อากาศ...เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการ จาม คัดจมูก
มีน้ำมูกใส ๆ ไหลเป็น ๆ หาย ๆ อาการเหล่านี้มักมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น
ละอองเกสรของพืช ไรฝุ่นและสัตว์เลี้ยง ผู้ป่วยบางรายอาจมาด้วยอาการของไซนัสอักเสบเรื้อรัง
อาการเหล่านี้ถึงแม้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นที่รำคาญต่อการดำรงชีวิตของผู้ป่วยและบุคคลใกล้เคียง

ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพ้อากาศมักมีพื้นฐานทางกรรมพันธ์ เช่น การมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้
รวมทั้งมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเสิรม เช่น การที่มีไรฝุ่นเป็นจำนวนมากในบ้าน นอกจากนี้
ปัจจัยส่งเสริมอื่น ๆ เช่น มลพิษในอากาศหรือควันบุหรี่ ก็จะทำให้อาการแพ้อากาศเป็นมากขึ้นได้

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคแพ้อากาศ
นอกจากประวัติและการตรวจร่างกายแล้ว การตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการที่จะช่วยในการวินิจฉัยโรคแพ้อากาศ ได้แก่
1. การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง จะช่วยในการบอกถึงสารที่ก่อภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญในประเทศไทย ได้แก่
ตัวไรฝุ่น แมลงสาบ สัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น แมวและสุนัข ละอองเกสรหญ้า และต้นไม้ เชื้อราในบ้าน เป็นต้น การที่
ทราบถึงสารก่อภูมิแพ้ จะมีประโยชน์อย่างมากในการแนะนำผู้ป่วยให้หลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น
2. การตรวจเซลล์ภูมิแพ้ในจมูก สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ และช่วยแยกโรคภูมิแพ้จากโรคติดเชื้อในจมูก
3. การทดสอบอื่น ๆ เช่น การส่องดูจมูกด้วยเครื่องมือพิเศษ (Rhino-scopy) การ X-Ray ดูในโพรงอากาศไซนัส
เพื่อวินิจฉัยภาวะไซนัสอักเสบ ซึ่งอาจพบร่วมกับภาวะภูมิแพ้ทางจมูก เป็นต้น

จะปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อเป็นโรคแพ้อากาศ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและปัจจัยส่งเสริม เช่น คลุมที่นอนและหมอน ถ้าแพ้ตัวไรฝุ่น ขจัดแมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน
ถ้าแพ้สารเหล่านี้ การใช้เครื่องปรับอากาศจะช่วยกรองเอาสารก่อภูมิแพ้บางอย่างออกไปจากบ้าน เป็นต้น
2. ล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำเกลือ จะช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในจมูก และอาจมีผลลดการติดเชื้อในโพรงไซนัส
เนื่องจากทำให้น้ำมูกไหลออกมาได้ดีขึ้น และไม่มีการอุดตันของน้ำมูกที่มาจากโพรงไซนัส วิธีการล้างจมูกอย่างง่าย ๆ คือ
• 1. ผสมน้ำต้มสุก 500 ซีซี ( ครึ่งลิตร ) กับเกลือ 1 ช้อนชา
• 2. เทน้ำเกลือลงในแก้ว และดูดด้วยลูกยางแดง หรือ Syringe
• 3. ให้ผู้ป่วยก้มหน้า กลั้นหายใจ พร้อมกับบีบน้ำเข้าไปในรู้จมูกช้า ๆ น้ำเกลือควรจะไหลกลับลงมาข้างล่าง
หรือ ไหลไปที่จมูกอีกข้างหนึ่ง ไม่ควรให้คนไข้แหงนหน้า เพราะจะทำให้สำลักน้ำเกลือ
• 4. ให้ผู้ป่วยสั่งน้ำมูก และเช็ดน้ำมูกที่เหลือทั้งหมด
3. การใช้ยา Antihistamine ซึ่งจะช่วยลดอาการคันจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ ในปัจจุบันมียา Antihistamine
ใหม่ ๆ ที่มีผลทำให้ง่วงนอนน้อยกว่ายาเดิมได้
4. การใช้ยาพ่น Steroid จะช่วยลดอาการคันจมูก คัดจมูก น้ำมูกไหลและอาการจามได้ การใช้ยาพ่น Steroid ในขนาด
ที่เหมาะสมจะมี ผลข้างเคียงน้อยกว่าการรับประทานยา Steroid
5. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นการฉีดสารก่อภูมแพ้ขนาดน้อย ๆ ติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 ปี วิธีนี้จะทำให้ร่างกายทนต่อสารก่อภูมิแพ้
และทำให้ลดปริมาณการใช้ยาลง

ขอขอบคุณ. . .

Gymboree Newsletter ฉบับที่ 10 ปี 2003



วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

- -''


วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แม่



แม่ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก



เพราะเราเต็มใจรักแม่โดยไม่ต้องหลง



แม่อาจตีเราให้เจ็บกาย แต่แม่ไม่เคยทำให้เราเจ็บใจ



แม่ ส่งเสียให้เราทุกอย่าง แต่แฟนไม่เคยส่งเสียเราเลย

แม่ไม่เคยบอกเลิกเรา


แม่เป็นแบงก์ส่วนตัว ไม่เคยคิดดอกเบี้ยและไม่ทวงคืน


แม่เห็นเราแก้ผ้าตั้งแต่เด็ก โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่างของเรา


ขอหอมแก้มแม่ ไม่ยากเท่าหอมแก้มแฟน


แม่สอนให้เราพูดได้ เพื่อที่จะไปบอกรักแฟนตอนโต


แม่ยอมเป็นยัยอ้วนลงพุง 9 เดือนเพื่อให้เราอยู่อาศัยอย่างปลอดภัย


ในประเทศนี้ไม่มี "วันแฟนแห่งชาติ" เหมือน"วันแม่"



วันนี้ คุณอยากบอกแม่ว่าอะไร. . . .

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เตียมฝึกฯ

ช่วงนี้กำลังยุ่งกะงานหลาย ๆ ชิ้น
โดยเฉพาะงานเตียมฝึกฯ
ต้องรีบทำเวป ทำpowerpoint ให้ออกมาดูดี และสวยงาม
เพื่อที่การนำเสนอจะได้ไม่เป็นที่น่าอายแก่ผู้อื่น. . .
ไม่รู้ว่าจะผ่านไปด้วยดีไหม
แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด

╠ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ╬ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ═ ╣

เตียมฝึกฯ เป็นอีกภาควิชานึงที่ต้องเรียน เพื่อ เป็นการเตรียมตัว
ก่อนออกไปฝึกงานจริง และเพื่อความพร้อมในทุก ๆ เรื่อง
การเรียนเตียมฝึกทำให้เราได้รับความรู้มากมาย
ไม่ว่าจะรู้เรื่องของการใช้ชีวิตช่วงการทำงาน และการมีสังคมในอีกหลาย ๆ รูปแบบ

เศร้า

โทสับพัง เศร้าใจสุด สุด

มันคงเกิดจากความโง่ของตัวเอ

ที่ทำไรไม่รู้จักระมัดระวัง



คิดแล้วเศร้า ต้องมาใช้โทสับของคนอื่น
ซึ่งเป็นอะไรที่แย่สุด สุด


วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

][f][i][r][s][t][





วันนี้เป็นวันแรกของการเขียน blog ปกติไม่เคยทำมาก่อน


ส่วนมากจานั่งเล่น hi5 มากก่า


แต่เนื่องจากเป็นคำแนะนำหรือเรียกว่าคำสั่งดีหว่า+ต้องทำงานส่ง


เลยต้องมาหัดเขียน หัดแต่ง blog เข้าไว้


จะได้เก่ง ๆ ในวันข้างหน้า


เขียนไม่เป็นหรอก แต่จะหัดเขียนไปเรื่อย ๆ ทำอะไรไม่เป็นก็ต้องหัดทำไปเรื่อย ๆ


เดี๋ยวมันกะดี กะเก่งขึ้นเอง






ปล.


จะพยายามหัดเขียน


เรียนรู้ ศึกษา


จะได้เขียนสวย สวย


เก่ง เก่ง
 
html { scrollbar-face-color:#800000; scrollbar-highlight-color:#FF0000; scrollbar-3dlight-color:#800000; scrollbar-darkshadow-color:#800000; scrollbar-shadow-color:#FF0000; scrollbar-arrow-color:#ECC977; scrollbar-track-color:#800000; }